วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 5
ภาษาประจำชาติอาเซียน
ประเทศบรูไนดารุสซาลาม


  • การนำเสนอเกี่ยวกับประเทศบรูไนหน้าชั้นเรียน




  • การแนะนำเกี่ยวกับประเทศบรูไน



ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=bEb7Nny_dIY

  • สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศบรูไน



ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=jh1TyVjqy6I
บทที่ 3






Main Idea
In early childhood education or child of any age. Should take into account the development of children that is important. The study of child development will help us to understand the nature and development of children at different age. This will allow us to experience. Teaching and Learning and Parenting children with development correctly.

Supporting Details
When someone talks of development in infancy and early childhood you should know this is the most advanced period of development. Parents must show an interest the child for good development all four sides of the body, mental , social , emotional and intellectual. Ouring early childhood the parent and child relationship seem to shift a bit. This relationship can hinder or grow the child is development. Early childhood education can help a child eatch up or continue to grow socially and cognitively.


วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บทที่ 4 วัฒนธรรมและการสื่อสารต่างวัฒนธรรม


บทที่ 4

วัฒนธรรมและการสื่อสารต่างวัฒนธรรม
คำศัพท์เกี่ยวกับวัฒนธรรม
ประเพณี (tradition) - เป็นกิจกรรมที่มีการปฏิบัติสืบเนื่องกันมา เป็นเอกลักษณ์และมีความสำคัญต่อสังคม
http://mblog.manager.co.th/thaicustom/th-123129/
ค่านิยม (Values) - สิ่งที่สังคมถือว่ามีค่าพึงปรารถนาต้องการให้เป็นเป้าหมายของสังคมและปลูกฝังให้สมาชิกของสังคมยึดถือเป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิตควรหลีกเลี่ยง
http://www.thaigoodview.com/.../social/sec02p%2003.html
แหล่งโบราณคดี (Archaeological site) เป็นสถานที่ที่ก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์หรือสถานที่ที่พบร่องรอยของกิจกรรมของมนุษย์ในอดีตที่มีคุณค่าในทางศิลปะ ประวัติศาสตร์และโบราณคดี
https://th.wikipedia.org/.../%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3...
ประวัติศาสตร์ (History) หมายถึง เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำ หรือสร้างแนวความคิดไว้ทั้งหมด รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดจากเจตจำนงของมนุษย์ ตลอดจนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือธรรมชาติที่มีผลต่อมนุษยชาติ
http://www.baanjomyut.com/library/hist.html
ลัทธิ (Doctrine) หมายถึง ความเชื่อ ความคิดเห็น และหลักการ เกี่ยวกับศาสนา ปรัชญา การเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม ที่นับถือและปฏิบัติตามสืบเนื่องกันมาจนเป็นอุดมการณ์ของกลุ่มชนหรือสำนักวิชาการต่าง ๆ
https://th.wikipedia.org/.../%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%97...
อนุรักษ์ (Conserve)รักษาและใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุดและนานที่สุด
http://www.oknation.net/blog/ps/2009/09/04/entry-1
ศาสนา (Religion) - ลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์อันมีหลัก คือแสดงการกําเนิดและความสิ้นสุดของโลก
http://dictionary.sanook.com/.../%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8...
Cultural uniqueness - Culture/customs which make a country distinctive/different from other countries.(วัฒนธรรมที่แตกต่างหรือโดดเด่น)
Belief - Something believed or accepted as true, especially a particular tenet or a body of tenets accepted by a group of persons.(สิ่งที่ยอมรับว่าเป็นจริง)
Cultural conflicts - We should try hard to avoid cultural conflicts as they are a result of a misunderstanding.(ความเข้าใจผิดที่มีผลมาจากความขัดแย้ง)
http://www.myenglishpages.com/.../vocabulary-lesson...

ประเพณี (tradition) เป็นกิจกรรมที่มีการปฏิบัติสืบเนื่องกันมา เป็นเอกลักษณ์และมีความสำคัญต่อสังคม เช่น การแต่งกาย ภาษา วัฒนธรรม ศาสนา ศิลปกรรม กฎหมาย คุณธรรม ความเชื่อ ฯลฯ อันเป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมของสังคมเชื้อชาติต่างๆ กลายเป็นประเพณีประจำชาติและถ่ายทอดกันมาโดยลำดับ หากประเพณีนั้นดีอยู่แล้วก็รักษาไว…
mblog.manager.co.th


บทความเกี่ยวกับ ภาวะที่เกิดขึ้นได้ในการเข้าสู่วัฒนธรรมใหม่ (Culture Shock) ในแง่มุมที่เหมาะสมกับวิชาชีพของท่าน

เรื่องการได้ไปดูงานการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัย ที่โรงเรียนเกียรติคุณวิทยา
สังคมและวัฒนธรรมใหม่ของดิฉัน คือ การได้เข้ามาศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล คณะศึกษาศาสตร์สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย การเรียนสาขาวิชาปฐมวัยนอกจากจะได้เรียนตามปกติในห้องเรียนแล้วยังมีการออกไปศึกษาดูงานในสถานที่จริงด้วยครั้งแรกของการไปศึกษาดูงานการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัย ดิฉันตื่นเต้นมากมีความประหม่าบ้างเล็กน้อยในการได้ไปพบเด็กๆระดับปฐมวัยที่โรงเรียนเกียรติคุณวิทยา เมื่อไปถึงที่โรงเรียนเกียรติคุณวิทยาแล้วดิฉันได้พบกับเด็กๆตัวเล็กน่ารักดีใจมากกับการได้มาดูงานในครั้งนี้เพราะไม่เคยได้ไปดูงานที่ไหนเลยได้เรียนอยู่แต่ในห้องเรียน
ด้วยวิธีการร่วมเล่นและทำกิจกรรมไปพร้อมกับเด็กๆ เช่น การเต้นกายบริหารในตอนเช้า และการนั่งสมาธิ เป็นต้น ดิฉันสังเกตได้ว่าเด็กเริ่ม เห็นดิฉันเป็นมิตรกับพวกเขาแต่ระหว่างที่ทำกิจกรรม ร่วมกับเด็กๆอยู่นั้น ดิฉันพบว่ายังมีเด็กบางคนที่ไม่ยอมมาเล่น และทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ในห้องดิฉันจึงพยายามหาทางจูงใจให้เด็กที่ไม่ยอมเล่นและทำกิจกรรมมาเล่นและทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ ไม่ว่าจะใช้ของเล่น หรือสื่อต่างๆไปหลอกล่อ แต่เด็กคนนั้นก็ไม่เกิดความสนใจเลยครูประจำชั้นของเด็กจึงได้แนะนำกับดิฉันว่า ถ้าเด็กไปฐมวัยไม่เกิดความสนใจหรือไม่อยากทำกิจกรรมใดๆ เราไม่ควรไปบังคับให้เด็กทำ ควรปล่อยให้เด็กได้นั่งเฉยๆ ดูเพื่อนไปก่อน เมื่อเด็กเกิดความสนใจที่จะเล่นหรือทำกิจกรรม เด็กก็จะมาร่วมทำกิจกรรมด้วยตนเองคุณครูไม่ควรไปบังคับเด็กนับเป็นความรู้ใหม่ที่ดีจากสังคมใหม่นี้ที่ดิฉันจะเก็บไว้เป็นประสบการณ์ในชีวิต เพื่อวันข้างหน้าที่ดิฉันจะไปเป็นครูปฐมวัยหลังจากดิฉันสร้างความคุ้นเคยกับเด็กๆแล้ว ดิฉันพบว่าเด็กๆทุกคน อยากที่จะเล่นและพูดคุยกับเรา แต่ดิฉันกับรู้สึกสนิทสนมกับเด็กคนหนึ่งเป็นพิเศษ ชื่อว่าน้องข้าวปั้น น้องเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักอวบๆขาวๆ ดิฉันจึงใส่ใจที่จะเล่นกับเด็กคนนี้เป็นพิเศษแต่ปัญหาที่ตามมาคือเด็กคนอื่นจะเกิดความน้อยใจ ที่เราสนใจเด็กทุกคนไม่เท่าเทียมกันทำให้ดิฉันรู้ว่า ถ้าเราเป็นครูปฐมวัย เราไม่ควรแบ่งแยกเด็ก ควรรักและใส่ใจเด็กทุกๆคน อย่างเท่าเทียมกันทำให้ดิฉันรู้ว่า ถ้าเราเป็นครูปฐมวัย เราไม่ควรแบ่งแยกเด็ก ควรรักและใส่ใจเด็กทุกๆคน อย่างเท่าเทียมกันควรดูแลเด็กทุกคนอย่างทั่วถึง เพื่อไม่ให้เด็กเกิดความน้อยใจ และยังเป็นการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้เป็นบรรยากาศที่มีความสุขและอบอุ่นดิฉันจึงพยายามพูดคุยกับเด็กๆทุกคนในห้อง และร่วมเล่นทำกิจกรรมกับเด็กอย่างสนุกสนานโดยไม่เจาะจงเล่นกับคนใดคนหนึ่งเพียงเท่านั้น
เมื่อดิฉันได้ปรับตัวในการสร้างความคุ้นเคย ด้วยการเล่นและทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับเด็กๆ อย่างมีความสุขและสนุกสนาน ทำให้เด็กเกิดความคุ้นเคย ไว้ใจ ลดความกังวลที่เด็กมีต่อตัวดิฉัน อยากที่จะเล่นและพูดคุยกับดิฉัน มากขึ้น ทำให้การศึกษาดูงานนอกสถานที่ในครั้งนี้ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี และเป็นสังคมใหม่ นอกเหนือจากที่ดิฉันได้นั่งเรียนอยู่ในห้องเรียนที่มหาวิทยาลัย เพราะทำให้ดิฉันได้พบเจอกับเด็กๆ และได้ความรู้จากคุณครูประจำชั้นของเด็กๆ เพิ่มอีกด้วยและยังเป็นการสอน การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ที่เราไม่คุ้นเคยให้เราสามารถ สร้างสังคมใหม่ที่เราได้รับนี้ ให้เป็นสังคมที่ดี

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

บทที่ 2

การแนะนำตนเองต่อนักเรียน (Giving Self –introduction to Students)

การเริ่มบทสนทนากับผู้เรียน(Breaking the Ice with Students)

การให้คำปรึกษากับผู้เรียน(Giving Students Advices)     

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

บทที่ 1 ความหมายและความสำคัญของภาษา

ความหมายของภาษา วิจินตน์ ภาณุพงศ์( 2524 : 85) อธิบายความหมายของภาษาว่า “ภาษา หมายถึง เสียงพูดที่มีระเบียบและมีความหมาย ซึ่งมนุษย์ใช้ในการสื่อความคิด ความรู้สึก และในการที่จะให้ผู้ที่เราพูดด้วยทำสิ่งที่เราต้องการ และแทนสิ่งที่เราพูดถึง”
พจนานุกรม  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ.  2542 (2542 : 822)ให้ความหมายของภาษาไว้ว่า  ภาษา  หมายถึง  ถ้อยคำที่ใช้พูดหรือเขียนเพื่อสื่อความของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  เช่น  ภาษาไทย                อุดม    วิโรตม์สิกขดิตย์(2547 : 1-2) กล่าวว่า  ภาษา  หมายถึง  การสื่อความหมายที่ต้องมีเสียง  ความหมาย  ระบบ  กฏเกณฑ์ที่ยอมรับกันทั่วไป  หรืออีกนัยหนึ่งกล่าวว่า  ภาษาต้องมีโครงสร้าง(Structure)              
มยุเรศ  รัตนานิคม(2542 : 3) กล่าวว่า  ภาษา  หมายถึง  รหัสชนิดหนึ่งซึ่งมนุษย์ใช้สื่อความหมายระหว่างกันในการทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยผ่านสื่อที่เป็นเสียงสัญลักษณ์ตามที่ได้ตกลงยอมรับกันในสังคมของผู้ใช้รหัสเดียวกันนั้น  เสียงสัญลักษณ์ดังกล่าวจะต้องมีระบบแบบแผนที่แน่นอนและมีความสัมพันธ์กันกับระบบความหมายอันเป็นความหมายที่สามารถเข้าใจตรงกันได้ในหมู่ชนนั้น ๆ



สรุป ภาษา หมายถึง สัญลักษณ์ที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารเพื่อสื่อความหมายของกลุ่มสังคมแต่ละกลุ่ม และทุกครในสังคมนั้นๆจะเข้าใจความหมายตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสังคม
อ้างอิง https://th.answers.yahoo.com 



ความสำคัญของภาษา กรมวิชาการ (2545:3-6) ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อ สาร เพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุรการงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ ความคิดวิจารณ์และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ ได้กล่าวถึงลักษณะสาคัญๆ อันเป็นคุณสมบัติของภาษา สรุปได้ดังนี้ (วิไลวรรณขนิษฐานันท์ (2526 : 2) 1. ภาษาประกอบขึ้นด้วยเสียงและความหมาย โดยนัยของคุณสมบัตินี้ ภาษาหมายถึงภาษาพูดเท่านั้น ไม่รวมถึงภาษาเขียน ภาษาเขียนเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ใช้บันทึกภาษาพูด 2. ภาษาเป็นเรื่องของสัญลักษณ์ ซึ่งต้องมีการเรียนรู้จึงจะเข้าใจได้ว่าสัญลักษณ์นั้นมีความหมายว่า 3. ภาษามีระบบ เช่น การเรียงลาดับเสียง หรือการเรียงลาดับคาในประโยค การจะใช้ภาษาให้ถูกต้อง จึงต้องเรียนรู้ระเบียบและกฎของภาษานั้นๆ 4. ภาษามีพลังงอกงามอันไม่สิ้นสุด จากจานวนเสียงที่มีอยู่ ผู้พูดสามารถผลิตคาพูดได้ไม่รู้จบ เราจึง ไม่อาจนับได้ว่าในภาษาหนึ่งๆ มีจานวนคาเท่าใด

ความสำคัญของภาษาไทย        
1.เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารการดำเนินชีวิตประจำวันและในการประกอบอาชีพจะมีการติดต่อสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจเรื่องราว ความรู้สึก ความนึกคิด ความต้องการของแต่ละฝ่าย ซึ่งได้แก่ผู้ส่งสาร ซึ่งจะส่งสารโดยแสดงพฤติกรรมในรูปของการพูด การเขียน หรือแสดงด้วยท่าทาง ส่วนผู้รับสารจะรับสารด้วยการฟัง การดู หรือการอ่าน แต่ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารหรือรับสารก็ตาม เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้เป็นสะพานเชื่อมโยงเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันคือ ภาษา     
  2.เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และแสวงหาความรู้ บรรพบุรุษไทยได้สร้างสรรค์ สะสม อนุรักษ์และถ่ายทอดเป็นวัฒนธรรมให้เป็นมรดกของชาติโดยใช้ภาษาไทยเป็นสื่อ คนรุ่นหลังจึงใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการศึกษาแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ และรับสิ่งที่เป็นประโยชน์มาใช้ในการพัฒนาตนเอง ทั้งการพัฒนาสติปัญญา กระบวนการคิด การวิเคราะห์ การวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงความคิดเห็น ทำให้เกิดความรู้และประสบการณ์ที่งอกงาม กลายเป็นผู้ที่มีชีวทัศน์และโลกทัศน์ที่สอดคล้องกับยุคสมัย สามารถติดตามความเจริญก้าวหน้าของศาสตร์ต่างๆ จึงรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกปัจจุบัน ซึ่งนำมาพัฒนาประเทศชาติได้อย่างดี      
 3.เป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันในประเทศไทยนอกจากจะมีภาษาไทยกลางซึ่งเป็นภาษาประจำชาติแล้ว เรายังมีภาษาถิ่นต่างๆ ซึ่งเป็นภาษาที่ติดต่อกันเฉพาะในกลุ่ม และเมื่อกำหนดให้ภาษาไทยกลางเป็นภาษามาตรฐานเป็นภาษาที่ใช้ร่วมกัน ทำให้การสื่อสารเข้าใจตรงกันทั้งในการศึกษา ในทางราชการ และในสื่อสารมวลชน การใช้ภาษาไทยกลางช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันในสังคมไทยโดยส่วนรวม      
 4.เป็นเครื่องมือในการบันทึกและถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของบรรพบุรุษในรูปของวรรณคดีและวรรณกรรมการอ่านและการศึกษาวรรณคดีและวรรณกรรมแต่ละสมัย ทำให้ชนรุ่นหลังรับรู้และเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้แต่ง เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ เข้าใจเหตุการณ์ เข้าใจลักษณะสังคม และสังคมของผู้คนในสมัยนั้นๆ      
 5.เป็นเครื่องมือสร้างเอกภาพของชาติการที่ประเทศไทยมีภาษาไทยกลางเป็นมาตรฐานที่ใช้ร่วมกัน มีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาติที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีอารยธรรม การใช้ภาษาไทยในการนติดต่อสื่อสารทำให้เกิดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเกิดความผูกพันเป็นเชื้อชาติเดียวกัน ทำให้เกิดความปรองดองและร่วมมือกันที่นะพัฒนาชาติไทยให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงต่อไป      
 6.เป็นเครื่องมือช่วยจรรโลงใจภาษาไทยเป็นภาษาที่มีเสียงไพเราะเมื่อผู้เขียนได้นำมาแต่งเป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง เมื่อใครได้อ่านได้ฟังก็จะเกิดความรู้สึกชื่นบาน เกิดความจรรโลงใจ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของอะไรก็ตามซึ่งเป็นเรื่องราวที่ช่วยให้เกิดความจรรโลงใจ และความชื่นบานนี้จำเป็นต้องอาศัยภาษาเป็นสื่อ ภาษาไทยจึงมีความสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตคนไทยมีความสดชื่น รื่นรมย์ มีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เคร่งเครียด เกิดความคิดสร้างสรรค์ และสังคมดำรงอยู่ได้ด้วยด

สรุป ความสำคัญของภาษา คือ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสาร ทำให้คนในสังคมมีความเข้าใจในความหมายที่ตรงกัน



อ้างอิง http://human.tru.ac.th/elearning/thai_for_com/lesson1/content21.html
www.htc.ac.th › thai https://nungruatai11.wordpress.com/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D-3/

ระดับของภาษา
การใช้ภาษาขึ้นอยู่กับกาลเทศะ สถานการณ์ สภาวะแวดล้อม และสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ซึ่งอาจแบ่งภาษาเป็นระดับต่างๆได้หลายลักษณะ เช่น (ภาษาระดับที่เป็นแบบแผนและไม่เป็นแบบแผน),(ภาษาระดับพิธีการ ระดับกึ่งพิธีการ ระดับไม่เป็นทางการ) ในชั้นเรียนนี้ เราจะชี้ลักษณะสำคัญของภาษาเป็น 5 ระดับ ดังนี้
1. ระดับพิธีการ ใช้สื่อสารกันในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ได้แก่ การประชุมรัฐสภา การกล่าวอวยพร การกล่าวต้อนรับ การกล่าวรายงานในพิธีมอบปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร การกล่าวสดุดีหรือการกล่าวเพื่อจรรโลงใจให้ประจักษ์ในคุณความดี การกล่าวปิดพิธี เป็นต้น ผู้ส่งสารระดับนี้มักเป็นคนสำคัญสำคัญหรือมีตำแหน่งสูง ผู้รับสารมักอยู่ในวงการเดียวกันหรือเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ สัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีต่อกันอย่างเป็นทางการ ส่วนใหญ่ผู้ส่งสารเป็นผู้กล่าวฝ่ายเดียว ไม่มีการโต้ตอบ ผู้กล่าวมักต้องเตรียมบทหรือวาทนิพนธ์มาล่วงหน้าและมักนำเสนอด้วยการอ่านต่อหน้าที่ประชุม
2. ภาษาระดับทางการ ใช้บรรยายหรืออภิปรายอย่างเป็นทางการในที่ประชุมหรือใช้ในการเขียนข้อความที่ปรากฏต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ หนังสือที่ใช้ติดต่อกับทางราชการหรือในวงธุรกิจ ผู้ส่งสารและผู้รับสารมักเป็นบุคคลในวงอาชีพเดียวกัน ภาษาระดับนี้เป็นการสื่อสารให้ได้ผลตามจุดประสงค์โดยยึดหลักประหยัดคำและเวลาให้มากที่สุด
3. ภาษาระดับกึ่งทางการ คล้ายกับภาษาระดับทางการ แต่ลดความเป็นงานเป็นการลงบ้าง เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารซึ่งเป็นบุคคลในกลุ่มเดียวกัน มีการโต้แย้งหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นระยะๆ มักใช้ในการประชุมกลุ่มหรือการอภิปรายกลุ่ม การบรรยายในชั้นเรียน ข่าว บทความในหนังสือพิมพ์ เนื้อหามักเป็นความรู้ทั่วไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆ รวมถึงการปรึกษาหารือร่วมกัน
4. ภาษาระดับไม่เป็นทางการ ภาษาระดับนี้มักใช้ในการสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคลไม่เกิน ๔-๕ คนในสถานที่และกาละที่ไม่ใช่ส่วนตัว อาจจะเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกัน การเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน การรายงานข่าวและการเสนอบทความในหนังสือพิมพ์ โดยทั่วไปจะใช้ถ้อยคำสำนวนที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยกันมากกว่าภาษาระดับทางการหรือภาษาที่ใช้กันเฉพาะกลุ่ม เนื้อหาเป็นเรื่องทั่วๆไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆรวมถึงการปรึกษาหารือหรือร่วมกัน
5. ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับนี้มักใช้กันในครอบครัวหรือระหว่างเพื่อนสนิท สถานที่ใช้มักเป็นพื้นที่ส่วนตัว เนื้อหาของสารไม่มีขอบเขตจำกัด มักใช้ในการพูดจากัน ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรยกเว้นนวนิยายหรือเรื่องสั้นบางตอนที่ต้องการความเป็นจริง (การแบ่งภาษาดังที่กล่าวมาแล้วมิได้หมายความว่าแบ่งกันอย่างเด็ดขาด ภาษาระดับหนึ่งอาจเหลื่อมล้ำกับอีกระดับหนึ่งก็ได้)

สรุป ระดับของภาษา มี 5 ระดับ คือ 1.)ภาษาระดับพิธีการ ใช้สื่อสารในที่ประชุม ที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ 2.)ภาษาระดับทางการ ใช้กับหนังสือจดหมายทางราชการ การประชุมทางราชการ 3.)ภาษาระดับกึ่งทางการ ใช้พูดกับบุคคลกลุ่มเดียวกัน ที่สามารถลดความเป็นทางการลงได้ 4.)ภาษาระดับไม่เป็นทางการ ใช้พูดกับคนคุ้นเคย รึการเขียนจดหมายหาเพื่อน 5.)ภาษาระดับกันเอง ใช้พูดกับเพื่อนและคนสนิท

อ้างอิง https://sites.google.com/site/khwamruphasathai/home/10-radab-phasa


ทักษะและเทคนิคการใช้ภาษา และลีลาในการสอน
การใช้ประโยคถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เมื่อใช้คาได้อย่างถูกต้องแล้ว ลาดับต่อไปคือ การนาคาต่าง ๆ มาเรียบเรียงเป็นประโยคให้ถูกต้องตามหลัก ไวยากรณ์ไทย การใช้ประโยคได้อย่างถูกต้องย่อมทาให้การสื่อสารแต่ละครั้งบรรลุจุดมุ่งหมาย การใช้ ประโยคไม่ถูกต้องเกิดจากสาเหตุหลายประการ ดังนี้ 1. การเรียงประธาน กริยา กรรม ไม่เป็นไปตามลาดับ 2. คาเชื่อมประโยคอยู่ผิดที่ 3. การใช้คาบุพบท สันธาน หรือลักษณะนามผิด 4. การวางส่วนขยายไม่ชิดคาที่ต้องการอธิบาย การหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาพูดในภาษาเขียน แม้ว่าการใช้ภาษาพูดในภาษาเขียนจะมีจุดมุ่งหมายตรงกัน คือ เพื่อให้การสื่อสารบรรลุจุดมุ่งหมาย แต่ก็มี องค์ประกอบที่ใช้ในการสื่อสารต่างกัน ทาให้ภาษาเขียนมีกฎเกณฑ์ในการใช้ภาษาต่างจากภาษาพูด ข้อแตกต่างระหว่างภาษาพูดและภาษาเขียนมีดังนี้ 1. การพูดมีสถานการณ์และสภาพแวดล้อมช่วยให้เข้าใจได้ดียิ่งกว่าการเขียน 2. ภาษาพูดเป็นการสื่อสารเฉพาะขณะที่พูด 3. ในการพูดอาจใช้ภาษาเฉพาะกลุ่มได้ 4. ในการพูดนั้นผู้ส่งสารและผู้รับสารมีความใกล้ชิดกัน 5. ในการพูด เราอาจพูดซ้าได้เพื่อทวนเรื่องที่ยากให้เข้าใจ 6. ภาษาเขียนไม่ควรมีข้อผิดพลาด ควรเรียบเรียงอย่างระมัดระวังและเลือกสรรถ้อยคาอย่างสุภาพ
ทักษะการอธิบายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้สอนเป็นการบอกการเล่าให้เห็นตามลำดับขั้นตอนการสอนและการอธิบายควรมีการยกตัวอย่าง มี 2ทางคือ1แบบนิรนัย โดยบอกแล้วยกตัวอย่างขยายกฎหรือหลักการนั้นๆให้เข้าใจ ทฤษฎีหลักการ2.แบบอุปนัย การยกตัวอย่างรายละเอียดย่อยๆ แล้วให้เด็กคิดวิเคราะห์รวบรวมเป็นหลักการลักษณะการอธิบายใช้เวลาอธิบายไม่เกิน10 นาที ควรใช้ภาษาที่ง่ายๆที่เด็กเข้าใจง่ายควบคลุมใจความสนใจเรื่องยากไปง่ายและอธิบายตามแนวคิดของนักเรียนเราจะรู้ว่าเด็กเด็กเข้าใจหรือไม่เข้าใจและครูควรสรุปผลการอธิบายให้เด็กนักเรียนเข้าใจด้วย
ทักษะการใช้คำถามเป็นสิ่งสำคัญในการสอน เฉพาะอย่างการใช้คำถามให้เด็กคิดเห็น สติปัญญาเป็นผู้ตามต้องเข้าใจจัดประสงค์ของคำถาม และไม่ควรเป็นคำถามที่อธิบาย แต่ควรเป็นคำถามที่เน้นวิเคราะห์ประเภทคำถาม1.คำถามที่ใช้ความคิดพื้นฐาน  เป็นคำถามง่ายๆไม่ต้องคิดลึกซึ้งคำถามที่ขยายความคิด เมื่อให้เด็กมองสิ่งที่เรียนอยู่และขยายความในสิ่งที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ คำถามประเภทได้แก่ การคาดคะเน เป็นคำถามเชิงสมมุติฐาน คาดการณ์ ซึ่งคำตอบย่อมเป็นไปได้หลายอย่าง        คำถามที่ใช้การวางแผนเป็นคำถามที่เสนอแนวคิดทางโครงการหรือเสนอแผนงานใหม่–          การวิจารณ์ เป็นคำถามที่ผู้ตอบพิจารณ์เรื่องราวหรือเหตุการณ์ในจุดสำคัญ–          การประเมินค่า  ว่านักเรียนชอบสิ่งไหนมากกว่ากันเทคนิคการใช้คำถามถามด้วยความสนใจถามอยางกลมกลืนถามโดยใช้ภาษาที่พูดเข้าใจง่ายการให้นักเรียนมีโอกาสตอบหลายคนในการสอนการเลือกถาม ควรถามผู้เรียนที่อ่อนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเข้าใจดังนี้การเสริมกำลังใจ หรือให้ผลย้อนกลับ ควรให้คำชมเชยกับเด็กที่ตอบคำถามการใช้คำถามหลายๆประเภทในการสอนแต่ละครั้งการใช้กิริยาท่าทางเสียงในการประกอบคำถามการใช้คำถามเชิงรุก การใช้คำถามต่อเนื่องอีก เพื่อให้ผู้เรียนได้ความรู้และขยายความคิด
เทคนิคการสอน คือ กลวิธีต่างๆที่ใช้เสริมกระบวนการ ขั้นตอน วิธีการ หรือการกระทำใดๆ เพื่อช่วยให้กระบวนการ ขั้นตอน วิธีการหรือการกระทำนั้นๆ มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น  สรุป ทักษะและเทคนิคการใช้ภาษาและลีลาในการสอน การใช้ภาษาในการสอนควรเป็นภาษาที่เหมาะสมกับเนื้อหาวิชาที่ทำการเรียนการสอน ลีลาในการสอนแต่ละครั้งควรใช้กิริยาท่าทางและน้ำเสียงที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความเพลิดเพลินและเข้าใจเนื้อหาวิชาเรียน
อ้างอิง https://yupawanthowmuang.wordpress.com
https://nokyung22ny.wordpress.com/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99/